Fast shipping on all orders
  Sign up to our newsletter and receive exclusive offers and promotions!
Post

“I WOKE UP LIKE THIS” No bloating, feeling fresh and happy by DailyPlus

ตื่นนอนทุกเช้าต้องมาเจอปัญหาพุงป่อง ถ่ายไม่คล่องต้องนั่งนาน พอทำงานก็ง่วงและรู้สึกไม่สดชื่นเอาซะเลย สาวๆ เป็นแบบนี้กันบ้างไหมคะ และเชื่อกันไหมว่าหนึ่งในสาเหตุหลักมาจากระบบลำไส้ที่ไม่สมดุล

ปัญหาลำไส้ ต้นเหตุที่ทำให้พุงป่อง หน้าหมองเป็นสิวง่าย

นาฬิกาชีวิตของเรากำหนดให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีในช่วงเช้าเพื่อนำสารพิษออกไป ดังนั้นถ้าเราไม่ได้ถ่ายในช่วงเช้าก็เท่ากับว่าเราเก็บของเสียไว้กับตัวทั้งวันและส่งผลเสียตามมาคือ

- พิษที่ไม่ถูกขับออกไปจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด และไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งเลือดที่ไม่สะอาดเมื่อไหลไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น

- เมื่อไปที่ปอด พิษในเลือดก็จะถูกขับออกมาทางลมหายใจและผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีกลิ่นปากและกลิ่นตัว การท้องผูกบ่อยส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวที่ไม่สดใส เป็นสิวได้ง่าย

- ส่วนกากที่ไม่ถูกขับถ่ายออกมาก็จะหมักหมมอยู่ในลำไส้ใหญ่ ยิ่งปล่อยไว้พุงก็ยิ่งป่องขึ้น ทำให้รู้สึกอึดอัด เสียความมั่นใจ

อยากรักษาสมดุลลำไส้ อย่าลืมเติมไฟเบอร์ทุกวัน

ไฟเบอร์หรือใยอาหารที่มีมากในผัก ผลไม้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อการทำงานของระบบลำไส้ เพราะเป็นตัวที่ช่วยดูดซับสารพิษจากอาหารที่เราทานเข้าไปไม่ให้ไปเกาะและตกค้างตามผนังลำไส้ ช่วยให้อุจจาระของเรานิ่มขึ้นจึงทำให้ของเสียถูกขับถ่ายออกมาได้ง่าย นอกจากจะพุงยุบสมใจ การที่ร่างกายไม่มีพิษสะสมยังทำให้ระบบอื่นๆ ทำงานได้ดี ส่งผลดีออกมาจากภายในสู่ภายนอกในการมีสุขภาพผิวที่ดี รู้สึกสดชื่นในทุกวัน ซึ่งในหนึ่งวันร่างกายของเราต้องการไฟเบอร์ประมาณ 2500 มก. เทียบเท่ากับการทานผักให้ได้ประมาณ 400 กรัม นั่นแปลว่าในอาหาร 1 มื้อ ต้องมีผักในนั้น 50% จากอาหารที่ทานทั้งหมด ใครชอบทานผักก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ชอบก็ควรเริ่มปรับนิสัยการทานแล้วนะ

อาหารเสริม-ลดน้ำหนัก-ลดความอ้วน-ท้องผูก-ท้องอืด-ท้องป่อง-พุงป่อง

เคล็ดลับเติมไฟเบอร์ง่ายๆ พุงสลาย สบายตัวทั้งวัน

ถ้าการทานผักให้ได้มากๆ …

Post

Diet pills VS Dietary supplement

ความอ้วนเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของสังคมไทย เพราะเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย และยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาง่าย เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ

นอกจากปัญหาสุขภาพแล้ว ค่านิยมของคนในปัจจุบันโดยเฉพาะผู้หญิง จะให้ความสำคัญกับการมีรูปร่างผอมเพรียว ทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วนออกวางขายในท้องตลาดมากมาย ไม่ว่าจะมาในรูปของอาหารเสริมหรือยา ที่มีสรรพคุณและจุดเด่นต่างกันไป แต่ด้วยความที่สาวๆ ส่วนใหญ่มักใจร้อน อยากมีหุ่นสวยไวไว จึงไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างเพียงพอ เกิดการใช้ยาลดความอ้วนเกินขนาดและผิดประเภทจนเกิดอันตรายถึงชีวิต แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าตัวเราเหมาะกับผลิตภัณฑ์แบบใด

อาหารเสริม-สมุนไพร-ลดน้ำหนัก-ยาลดความอ้วน-แตกต่าง

ผลิตภัณฑ์ช่วยควบคุมน้ำหนักแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ

1.กลุ่มยาลดความอ้วนเคมี

ออกฤทธิ์โดยตรงกับระบบการทำงานของร่างกาย เช่น กลุ่มยาเฟนเทอร์มีน (phentermine) หรือยาลดความหิว ความอยากอาหาร กระตุ้นร่างกายให้ไม่อยากทานอาหาร เบื่ออาหาร ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงระหว่างทานคือ รู้สึกคอแห้ง ใจสั่น นอนไม่หลับ ท้องผูก อารมณ์แปรปรวน และปัสสาวะเป็นสีม่วง และเฟนเทอร์มีน ยังออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางและมีผลให้เกิดอาการติดยาได้ ดังนั้นผู้ที่จะใช้ยาตัวนี้ จึงต้องผ่านการวินิจฉัยอย่างเหมาะสมและควบคุมโดยแพทย์เท่านั้น จะไม่มีขายตามอินเตอร์เน็ตหรือร้านยาทั่วไป

2. กลุ่มยาลดความอ้วนที่เป็นสมุนไพร

ตัวนี้จะมีความปลอดภัยมากกว่ากลุ่มยาเคมี เพราะใช้สมุนไพรจากธรรมชาติ ซึ่งเน้นสรรพคุณของตัวสมุนไพรเป็นหลัก เช่น ดอกคำฝอยมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย เม็ดแมงลักที่จะพองตัวในกระเพาะอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องแต่ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน แต่ในขณะเดียวกันการใช้สมุนไพรนั้นต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการรักษา และถ้าใช้ในปริมาณมากเกินไปก็สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้ …

Post

8 Easy tip to stop eating salty food for better health

ติดกินเค็มกันใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะทานอะไรก็ต้องแอบเหยาะน้ำปลาลงไปแทบทุกอย่างทั้งๆ ที่อาหารก็ผ่านการปรุงรสเค็มมาแล้ว ถึงแม้โซเดียมที่มีอยู่ในเครื่องปรุงรสเค็มๆ ทั้งหลายจะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และเป็นที่มาของโรคได้สารพัด เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต เป็นสาเหตุของอาการบวมน้ำ และทำให้ลดน้ำหนักตัวได้ยากกว่าเดิม

รสเค็มกับความอ้วน

แม้ว่าเกลือจะไม่มีไขมันและแคลอรี แต่เกลือก็เป็นตัวการทำให้ร่างกายมีอาการบวมน้ำได้ เพราะร่างกายคนเรามีกลไกปรับสมดุลระหว่างน้ำและเกลือไม่ต่างจากเครื่องจักร ยิ่งเราทานเกลือเพิ่มเข้าไป ร่างกายก็จะหาน้ำมาเจือจางอีก ซึ่งปริมาณของเกลือที่องค์การอาหารและยาแนะนำให้บริโภคในหนึ่งวันจะอยู่ที่ 2,300 มิลลิกรัมหรือประมาณหนึ่งช้อนโต๊ะ แต่ในชีวิตประจำวันเรามักได้รับเกลือโซเดียมจากอาหารโดยไม่รู้ตัวเสมอ ทำให้ร่างกายได้รับเกลือมากกว่าปริมาณมาตรฐานเกือบสองเท่า และนี่คือสาเหตุว่าทำไมคนที่ควบคุมเรื่องการทานอย่างเคร่งครัดและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีน้ำหนักตัวเท่าเดิม ไม่ลดลงเลย

เคล็ดลับ-ลดกินเค็ม-ลดเกลือ-อาหาร-โซเดียมสูง-ลดความอ้วน-ลดโรค-บวมน้ำ

8 เคล็ดลับลดเค็ม เพื่อสุขภาพที่ดี

1. จำกัดการใช้เกลือ ซอส น้ำปลา หรือเครื่องปรุงรสในการปรุงอาหาร ค่อยๆ ลดปริมาณเครื่องปรุง ปรับให้ร่างกายเคยชินกับอาหารที่รสชาติอ่อนลง

2. ชิมอาหารทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการเติมเครื่องปรุงทุกชนิด โดยเฉพาะในอาหารจานเดียว เช่น ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงหรือมีรสเค็มจัด เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็งและปรุงสำเร็จอาหารหมักดอง อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ และขนมขบเคี้ยว …

Post

Food nutrition recommended for 14 quarantine days

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทำให้เราต้องเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 นอกจากการหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายและไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นแล้ว ควรดูแลร่างกายของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ เลือกทานอาหารให้เหมาะสมตามหลักโภชนาการ โดยทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลาย สารอาหารครบถ้วน ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยปกป้องเราจากอาการเจ็บป่วย วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับการเลือกและจัดการอาหารมาฝากเพื่อนๆ หมดโควิด19 แล้วก็ยังใช้ต่อยาวๆได้เลยค่า

หลักการเลือกซื้ออาหารให้ได้คุณค่าทางโภชนาการ

1.เลือกเมนูอาหารที่ทำง่าย สะดวกต่อการปรุง ทานง่ายสำหรับคนทุกเพศทุกวัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ และเป็นเมนูที่เสียยาก เช่น เนื้อสัตว์แดดเดียว หมูรวน ปลาทอดแห้ง ไข่ต้ม ไข่พะโล้ ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำพริกต่างๆ

2.ดัดแปลงวัตถุดิบที่มีอยู่เพื่อใช้จัดรายการอาหารให้มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น เช่น นำข้าวเหนียวนึ่งผสมกับถั่วต่างๆ (ถั่วเขียว ถั่วดำ) งาขาว งาดำ

3.เลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย เช่น ปลาสด หมูเนื้อสัน เนื้อไก่ส่วนอก แช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -18 องศา หรือโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนเกษตร ฟองเต้าหู้ เห็ดหอมแห้ง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ซึ่งเก็บไว้ได้นาน

4.เลือกซื้อผักประเภทหัว เช่น กะหล่ำปลี …

Post

Tips to get rid of bloating belly this summer

พุงป่องเรียกได้ว่าเป็นปัญหากวนใจที่คอยตามหลอนสาวๆ ส่วนใหญ่ จนทำให้เสียความมั่นใจได้ง่าย และโดยเฉพาะในวันที่อยากโชว์หุ่นใส่เสื้อผ้าเข้ารูป แต่สุดท้ายก็โดนดับฝันเพราะต้องหาอะไรมาปิดพุงแทน ซึ่งพุงป่องเกิดได้ความผิดปกติในลำไส้และระบบขับถ่ายที่ทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูกจนพุงป่องขึ้นมาได้

แต่สาวๆ รู้ไหมคะว่าแค่ปรับการใช้ชีวิตประจำวัน ก็สามารถลดการเกิดปัญหาพุงป่องไม่ให้เป็นปัญหาเรื้อรังที่คอยกวนใจได้แล้ว แค่ทำตาม 7 เคล็ดลับง่ายๆ ที่เรานำมาฝากดังต่อไปนี้

1. หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูดน้ำ

ใครจะคิดว่าการดื่มน้ำโดยใช้หลอด เป็นการเพิ่มแก๊สเข้าไปในลำไส้โดยที่คุณไม่รู้ตัว เพราะการที่น้ำจะถูกดันและลำเลียงขึ้นมาตามหลอดได้ ต้องอาศัยอากาศเป็นแรงดันเข้ามาช่วยด้วยไงหละ ดังนั้นการที่เราใช้หลอดเพื่อดูดน้ำก็เท่ากับเรากำลังดูดและกลืนอากาศลงไป เกิดเป็นแก๊สสะสมในลำใส่จนเกิดอาการท้องอืดขึ้นมา รู้แบบนี้แล้วเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงนะจ๊ะสาวๆ

2. ลดการทานอาหารแปรรูป

อาหารแปรรูปไม่เพียงแค่มีสารอาหารต่ำ แต่ยังมีเส้นใยอาหารซึ่งเป็นสิ่งที่ลำไส้ของคุณต้องการอยู่น้อยมากด้วย หากร่างกายได้รับใยอาหารไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อการทำงานของระบบย่อยในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายแปรปรวน จนเกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูก เกิดการสะสมของเสียและสารพิษตกค้างในร่างกายเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงใหม่สด เน้นรับประทานผลไม้และผักใบเขียวที่มีกากใยสูง เพื่อส่งเสริมการทำงานของลำไส้ในการย่อย ดูดซึมสารอาหาร และกำจัดพิษออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

3. ลดอาหารไขมันสูงและรสหวานจัด

อาหารที่มีไขมันและคอเรสเตอร์รอลสูง ยกตัวอย่างเช่นอาหารฟาสท์ฟู้ด ที่มักจะย่อยได้ยาก ร่างกายต้องใช้เวลานานกว่าจะย่อยเสร็จ และเมื่อมีอาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น ก็จะทำให้มีอาการท้องอืดได้ง่ายขึ้น รวมถึงขนมหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัดก็ทำให้ระบบขับถ่ายรวนได้ เพราะน้ำตาลจากของหวานจะเข้าไปแย่งน้ำจากร่างกาย ทำให้น้ำไม่พอส่งผลต่อการขับถ่าย เกิดเป็นอาการท้องผูก

“พุงป่อง-พุงใหญ่-ฟาสต์ฟู้ด-ลงพุง-อ้วน”/

4. ดื่มน้ำเลมอนหรือน้ำมะนาว

โพแทสเซียมในเลมอนหรือมะนาวช่วยต่อสู้กับอาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อยได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อในลำไส้ ทำให้สามารถย่อยและเคลื่อนย้ายกากอาหารที่ผ่านการย่อยเข้าสู่ระบบขับถ่ายได้รวดเร็วขึ้น จึงช่วยลดและป้องกันอาการท้องผูกและอาการท้องอืดเพราะอาหารไม่ย่อยได้

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ …