Fast shipping on all orders
  Sign up to our newsletter and receive exclusive offers and promotions!
Post

5 ways to stop stress eating

ยิ่งเครียดยิ่งกินใช่ไหมคะสาวๆ? อะไรมันจะมีความสุขไปกว่าการได้ทานของโปรดเพื่อคลายเครียดจริงไหมหละคะ จนกลายเป็นเหตุผลที่เรามักใช้อ้างกับตัวเองบ่อยๆ เพื่อที่จะได้กินจุกจิกตามใจปากแบบไม่รู้สึกผิด แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่เครียดกว่าเดิมเพราะน้ำหนักที่เพิ่มกันทุกราย

กินจุกจิก-เครียด-น้ำหนักเพิ่ม-แก้เครียด-แก้หิว-ลดความอยากอาหารงพุง-อ้วน

ยิ่งเครียดยิ่งกินจริงหรือ ทำไมเป็นแบบนั้น

อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต (physical need) เราจึงต้องทานอาหารทุกวันเพื่อให้ร่างกายเติบโตและมีพลังงานในการใช้ชีวิต ขณะเดียวกันการทานอาหารก็ได้กลายมาเป็นวิธีในการเติมเต็มความสุขของเรา (psychological need) ทั้งๆ ที่เราไม่ได้รู้สึกหิว โดยเฉพาะตอนที่เราเครียด รู้สึกขาดความสุข การทานอาหารที่เราชอบจึงช่วยเติมเต็มความสุขที่ขาดไปในตอนนั้นได้

ที่เป็นแบบนี้เพราะเมื่อเราเกิดความเครียดร่างกายก็จะยิ่งผลิตฮอร์โมนแห่งความเครียดหรือคอร์ติซอลออกมามาก จนไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนแห่งความสุขหรือเซโรโทนิน ขณะเดียวกันก็ไปทำให้ปริมาณน้ำตาลและอินซูลินในเลือดแกว่ง ทำให้เรารู้สึกอยากทานแป้ง อยากอาหารหวานๆ มันๆ จนกินจุกจิกมากกว่าปกติ

กินจุกจิก-เครียด-น้ำหนักเพิ่ม-แก้เครียด-แก้หิว-ลดความอยากอาหารงพุง-อ้วน

5 วิธีเลิกนิสัยกินจุกจิกแก้เครียดให้ได้ผล

1. เริ่มจากหาต้นเหตุของความเครียด

ลองลำดับเหตุการณ์ดูว่าอะไรทำให้เราเครียดได้ง่ายอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงไหนที่เรามักทานจุกจิกบ่อยที่สุด เมื่อรู้แล้วก็คิดหาทางหลีกเลี่ยงและทางตั้งรับหากไม่สามารถเลี่ยงได้ เช่น รู้สึกเครียดมากเมื่อต้องคิดแผนงานเพื่อไปนำเสนอลูกค้า เราอาจหลีกเลี่ยงความเครียดได้โดยจัดสรรเวลางานให้ดีขึ้น คิดแผนสำรองเผื่อไว้มากๆ ซื้ออาหารมีประโยชน์มาสำรองไว้ก่อนถึงช่วงเวลานั้น เมื่อต้องเคร่งเครียดกับงานแล้วรู้สึกหิวอย่างน้อยก็มีของที่มีประโยชน์ไว้ทานแก้ความหิวในตอนนั้น

2. ออกกำลังกายช่วยลดความเครียด

เพราะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซโรโทนินหรือฮอร์โมนแห่งความสุขเพิ่มขึ้นได้ ยิ่งคุณออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ยิ่งเห็นผลได้ดีขึ้น เคยได้ยินไหมคะว่าแค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้ว แม้คุณไม่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายหรือไม่ได้เป็นสมาชิกฟิตเนสที่ไหน แค่ทำท่าออกกำลังกายสะบัดแขนขาง่ายๆ ขยับร่างกายบ่อยๆ เช่น เดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ คุณก็ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันแล้วค่ะ

3. อย่าเก็บความเครียดไว้คนเดียว

การได้พูดคุยกับคนรอบข้างไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อนสนิทช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เป็นอย่างดี จากการได้รับความห่วงใย คำแนะนำในการผ่อนคลายความเครียด …

Post

Tips to get rid of bloating belly this summer

พุงป่องเรียกได้ว่าเป็นปัญหากวนใจที่คอยตามหลอนสาวๆ ส่วนใหญ่ จนทำให้เสียความมั่นใจได้ง่าย และโดยเฉพาะในวันที่อยากโชว์หุ่นใส่เสื้อผ้าเข้ารูป แต่สุดท้ายก็โดนดับฝันเพราะต้องหาอะไรมาปิดพุงแทน ซึ่งพุงป่องเกิดได้ความผิดปกติในลำไส้และระบบขับถ่ายที่ทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูกจนพุงป่องขึ้นมาได้

แต่สาวๆ รู้ไหมคะว่าแค่ปรับการใช้ชีวิตประจำวัน ก็สามารถลดการเกิดปัญหาพุงป่องไม่ให้เป็นปัญหาเรื้อรังที่คอยกวนใจได้แล้ว แค่ทำตาม 7 เคล็ดลับง่ายๆ ที่เรานำมาฝากดังต่อไปนี้

1. หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูดน้ำ

ใครจะคิดว่าการดื่มน้ำโดยใช้หลอด เป็นการเพิ่มแก๊สเข้าไปในลำไส้โดยที่คุณไม่รู้ตัว เพราะการที่น้ำจะถูกดันและลำเลียงขึ้นมาตามหลอดได้ ต้องอาศัยอากาศเป็นแรงดันเข้ามาช่วยด้วยไงหละ ดังนั้นการที่เราใช้หลอดเพื่อดูดน้ำก็เท่ากับเรากำลังดูดและกลืนอากาศลงไป เกิดเป็นแก๊สสะสมในลำใส่จนเกิดอาการท้องอืดขึ้นมา รู้แบบนี้แล้วเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงนะจ๊ะสาวๆ

2. ลดการทานอาหารแปรรูป

อาหารแปรรูปไม่เพียงแค่มีสารอาหารต่ำ แต่ยังมีเส้นใยอาหารซึ่งเป็นสิ่งที่ลำไส้ของคุณต้องการอยู่น้อยมากด้วย หากร่างกายได้รับใยอาหารไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อการทำงานของระบบย่อยในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายแปรปรวน จนเกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูก เกิดการสะสมของเสียและสารพิษตกค้างในร่างกายเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงใหม่สด เน้นรับประทานผลไม้และผักใบเขียวที่มีกากใยสูง เพื่อส่งเสริมการทำงานของลำไส้ในการย่อย ดูดซึมสารอาหาร และกำจัดพิษออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

3. ลดอาหารไขมันสูงและรสหวานจัด

อาหารที่มีไขมันและคอเรสเตอร์รอลสูง ยกตัวอย่างเช่นอาหารฟาสท์ฟู้ด ที่มักจะย่อยได้ยาก ร่างกายต้องใช้เวลานานกว่าจะย่อยเสร็จ และเมื่อมีอาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น ก็จะทำให้มีอาการท้องอืดได้ง่ายขึ้น รวมถึงขนมหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัดก็ทำให้ระบบขับถ่ายรวนได้ เพราะน้ำตาลจากของหวานจะเข้าไปแย่งน้ำจากร่างกาย ทำให้น้ำไม่พอส่งผลต่อการขับถ่าย เกิดเป็นอาการท้องผูก

“พุงป่อง-พุงใหญ่-ฟาสต์ฟู้ด-ลงพุง-อ้วน”/

4. ดื่มน้ำเลมอนหรือน้ำมะนาว

โพแทสเซียมในเลมอนหรือมะนาวช่วยต่อสู้กับอาการท้องอืดและอาหารไม่ย่อยได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อในลำไส้ ทำให้สามารถย่อยและเคลื่อนย้ายกากอาหารที่ผ่านการย่อยเข้าสู่ระบบขับถ่ายได้รวดเร็วขึ้น จึงช่วยลดและป้องกันอาการท้องผูกและอาการท้องอืดเพราะอาหารไม่ย่อยได้

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ …

Post

Tips to do a schedule and stay productive while working from home

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้เพื่อนๆ หลายคนต้องเริ่ม Work from home หรือ ทำงานที่บ้านกันแล้วใช่ไหมคะ บางคนอาจจะยังไม่ชินกับการทำงานจากที่บ้านแบบนี้ กลัวว่าจะเสียสมาธิและควบคุมงานให้เป็นไปตามแผนได้ยากขึ้น วันนี้เราเลยมีไอเดียการวางแผนทำงานที่บ้านให้ราบรื่นมาฝากเพื่อนๆ กันจ้า

สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการทำงานที่บ้าน

- เตรียมของใช้จำเป็นที่ต้องใช้เป็นประจำให้มีพร้อมเสมอทั้งของใช้ส่วนตัวรวมถึงอาหาร โดยเฉพาะคนที่ที่พักไม่ได้อยู่ใกล้ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต อาจซื้ออาหารมาให้เพียงพอที่จะรับประทานได้ 3-5 วัน โดยที่ไม่ต้องออกไปซื้อบ่อยๆ (ซื้อเท่าที่จำเป็นไม่ได้หมายถึงกักตุนนะจ๊ะ)

- เตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ทำงานให้พร้อม โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตที่เราต้องใช้ในการทำงานและติดต่องาน

- จัดสภาพแวดล้อมให้พร้อมทำงาน มีโต๊ะทำงานที่จะนั่งได้สบายตลอดทั้งวัน อยู่ในที่ที่จะไม่ถูกรบกวนได้ง่ายๆ ทั้งจากคนรอบข้างหรือจากกิจกรรมอื่นๆ

- หากติดทานของว่างจุกจิกระหว่างควรเตรียมของว่างให้พร้อม ซึ่งของว่างควรเน้นที่น้ำตาลและไขมันน้อย และเครื่องดื่มคาเฟอีนสูง เพราะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ง่วงระหว่างวัน แล้วเปลี่ยนเป็นผลไม้ ธัญพืช หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำแทน

ทำงานที่บ้าน-กักตัว-โควิด19-โคโรน่าไวรัส-workfromhome

เคล็ดลับจัดตารางเวลาเพื่อการทำงานที่บ้านอย่างราบรื่น

- ประชุมนัดหมายกับทีมงาน ตกลงทั้งเวลาเข้า-ออก วันที่นัดอัปเดตงาน รวมทั้งวิธีการและช่องทางสื่อสารระหว่างสมาชิกให้ชัดเจน สมาชิกในทีมควรมีเบอร์โทรศัพท์ของทุกคนเอาไว้ เพื่อจะได้ติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน

- ลิสท์รายการงานหรือโปรเจ็กต์ทั้งหมดที่ต้องรับผิดชอบ จัดลำดับความสำคัญว่าอะไรด่วนที่สุด และอย่าลืมกำหนดวันเริ่มต้น (Start Date) และวันกำหนดส่ง (Due Date) ของทุกงานหรือทุกโปรเจ็กต์

- …

Post

Effective ways to lose weight for office lady, new mom and over 40 years person

อีกหนึ่งปัญหาหนักใจของผู้หญิงส่วนใหญ่ ก็คงหนีไม่พ้นการมีน้ำหนักเกิน พุงป่อง ลดหุ่นอย่างไรก็ไม่เคยได้ผลใช่ไหม ก่อนอื่นเราอยากให้สาวๆ ทำความเข้าใจก่อนว่าเราไม่สามารถให้วิธีลดน้ำหนักแบบเดียวกันได้เนื่องจากหลายปัจจัยที่แตกต่างกันไป อาทิเช่น เพศ อายุ ขนาดรูปร่าง รูปแบบการใช้ชีวิต การมีโรคประจำตัว เป็นต้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว

สำหรับกลุ่มที่ลดน้ำหนักได้ยากที่เราเห็นกันบ่อยๆ ก็มักจะเป็นสาวออฟฟิศ คุณแม่หลังคลอด และผู้ที่มีอายุ 40 ขึ้นไป ซึ่งเรากำลังจะพูดถึงในวันนี้ ว่าทำไมคนกลุ่มนี้จึงลดความอ้วนได้ยาก รวมถึงเคล็ดลับควบคุมน้ำหนักให้คงที่ในระยะยาวโดยไม่กลับมาโยโย่อีกด้วย

1. พนักงานออฟฟิศ

ลดน้ำหนักไว-ลดพุง-5กิโล-พนักงานออฟฟิศ-วัยทำงาน

เป็นกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 22 ปีขึ้นไป โดยพนักงานออฟฟิศที่เริ่มประสบปัญหาเรื่องการลดน้ำหนักมักจะอยู่ในช่วงอายุ 20 ปีปลายๆ ซึ่งปัจจัยหลักมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตราการเผาผลาญเริ่มลดลง ประกอบกับการมีเวลาว่างดูแลตัวเองที่น้อยลง และพฤติกรรมทำลายสุขภาพ เช่น การนอนดึก ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ดื่มกาแฟมาก ไม่ออกกำลังกาย

เคล็ดลับลดน้ำหนักวัยทำงาน

- นอนหลับให้เป็นเวลาและพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่

- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้ระบบในร่างกายรวมทั้งระบบเผาผลาญทำงานได้ตามปกติ การดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารช่วยลดความอยากอาหารและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น จากการศึกษาพบว่าคนที่ควบคุมอาหารควบคู่กับการดื่มน้ำ 2 …

Post

Stay productive and overcome sleepy feeling during the day

อาการง่วงนอนในที่ทำงาน (หรือแม้แต่ในห้องเรียน) เป็นปัญหาที่คอยกวนใจชาวออฟฟิศอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในวันที่มีงานสำคัญรอให้สะสางอยู่เต็มไปหมด จึงเป็นการยากที่จะทำตามแผนให้สำเร็จ เพราะเราไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้เกิดความง่วงได้ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราง่วงและหมดแรงระหว่างทำงานได้บ้าง มาไขข้อสงสัยเพื่อหาทางแก้ไปด้วยกัน

แก้ง่วงบ่อย-แก้ง่วงตอนทำงาน-ทำไมง่วงบ่อย-ง่วงเพราะอะไร

สาเหตุที่ทำให้เราง่วงนอนระหว่างวัน

- การนอนไม่เป็นเวลาทำให้ร่างกายไม่สามารถหลั่งสารเมลาโทนินหรือสารที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนออกมาได้ตามปกติ รวมทั้งการนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเวลาในการพักผ่อนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 8 ชั่วโมง

- โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหอบหืด ภาวะหัวใจล้มเหลว ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคที่เกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคลมหลับ และโรคนอนไม่หลับ

- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง หากดื่มในปริมาณมากก็จะส่งผลต่อการนอนหลับอย่างมีคุณภาพในตอนกลางคืน ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอจนรู้สึกง่วงนอนในช่วงกลางวันได้

- การรับประทานอาหารมากเกินไป ทำให้ต้องใช้พลังงานในการย่อยมากขึ้น ร่างกายซึ่งสูญเสียพลังงานไปกับขั้นนี้มากจึงเกิดความอ่อนล้านำมาซึ่งอาการง่วงนอน

- การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ส่งผลให้ร่างกายต้องเร่งผลิตอินซูลิน ออกมาเพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ น้ำตาลกลูโคสในเลือดจึงลดลงอย่างรวดเร็วจนส่งผลให้ระดับพลังงานลดลงอย่างฉับพลัน จึงทำให้รู้สึกง่วงนอน

แก้ง่วงบ่อย-แก้ง่วงตอนทำงาน-ทำไมง่วงบ่อย-ง่วงเพราะอะไร

วิธีแก้ง่วงนอนที่ได้ผลแน่นอน

- ปรับนิสัยการนอนให้เป็นเวลา พยายามนอนก่อนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายจะผลิตเมลาโทนินออกมาได้มาก (และเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดีที่สุดด้วย) ควรนอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง การนอนอย่างมีคุณภาพและเพียงพอทำให้ร่างกายได้พักอย่างเต็มที่ …